ฉันมีอนิเมะมา รีวิวMirai เป็นเรื่องราวในโลกแฟนตาซีของมีไร ด้วยเนื้อหาที่ดี ดึงดูด งานภาพที่สวยงามและเปี่ยมเสน่ห์ รวมถึงผู้กำกับที่เลื่องชื่อในประเด็นการเล่นกับความหน่วงในจิตใจอย่างอาจารย์ชินไค มาโคโตะ

ที่มีผลงานอย่าง Your Name ที่เขาสามารถสร้างผลงานออกมาได้อย่าง ฮอตฮิตติดลมบนได้อย่างไม่ยากเย็น และฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่หลงรักเรื่องนี้ และคิดในใจว่าคงอีกนานที่จะรู้สึกต่ออนิเมเรื่องไหนได้เทียบเท่า

ซึ่งพอหลังจากนั้นไม่นาน เวลามีอนิเมะใหม่ ๆ มาเข้าฉายในบ้านเรา ความคาดหวังสูงก็ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอด ที่ผ่านมาก็เป็นไปตามคาด ซึ่งเรื่องนี้ฉันคาดหวังมากว่าเรื่องนี้สนุก เรามารอดูกันว่าเรื่อวนี้จะสนุกหรือไม่ สามารถเข้าชมหนังได้ที่ ดูหนังออนไลน์

รีวิวMirai อนิเมะ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย เรื่องราวโลกแฟนตาซี เรียบง่าย

รีวิวMirai อนิเมะ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย เรื่องราวโลกแฟนตาซี เรียบง่าย

รีวิวMirai เรื่องย่อ

เรามาเริ่มกันที่เรื่องราวของเรื่องนี้ Mirai เลย เรื่องเริ่มที่ คุน เด็กชายอายุ 4 ขวบ ผู้เอาแต่ใจ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากครอบครัวของเขากำลังมีสมาชิกใหม่ และเขากลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่รักเขาแล้ว

ในระหว่างที่เขากำลังเผชิญกับความกดดันครั้งแรกในชีวิต เขาได้บังเอิญไปพบสวนแห่งเวทมนตร์ สวนแห่งนี้ทำให้เขาเดินทางข้ามเวลามาพบกับ มิไร น้องสาวของเขาในโลกอนาคต การผจญภัยของทั้งสองจะช่วยทำให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับน้องสาวได้อย่างมีความสุข

ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังแอนิเมชั่นจากผู้กำกับดาวรุ่งความหวังใหม่คนหนึ่งของวงการญี่ปุ่นเลย ชื่อของเขาคือ โฮโซดะ มาโมรุ ด้วยเอกลักษณ์ลายเส้นที่ทันสมัยน่ารัก เนื้อเรื่องเกี่ยวพันกับสายสัมพันธ์ครอบครัวที่แสนอบอุ่น และมักมีองค์ประกอบความแฟนตาซีหรือไซไฟใส่ไว้อย่างสนุกสนาน นับเป็นสามปัจจัยหลักที่แฟนแอนิเมชั่นไม่อาจมองข้ามผลงานของอาจารย์ท่านนี้ได้เลย

ในครั้งนี้โฮโซดะ กลับมาด้วยหนังอย่าง Mirai ซึ่งเปิดตัวได้สวยงามกับการได้รับเลือกไปฉายในเทศกาลหนังระดับโลกอย่างเมืองคานส์มาแล้ว สำหรับตัวหน้าหนังเหมือนจะชูตัวละคร มิไร ที่เป็นชื่อตัวละครน้องสาว แต่แท้จริงแล้วกลับมีความหมายแฝงว่า อนาคต อยู่ด้วย สนใจที่จะรับชมเรื่องนี้ก็สามารถเข้ารับชมฟรีได้ที่ ดูMirai

รีวิวMirai เรื่องย่อ

ซึ่งด้วย รีวิวมิไร มหัศจรรย์วันสองวัย ตัวพลอตเรื่องย่อก็ไม่ได้ปกปิดเลยว่ามันมี เรื่องการก้าวข้ามเวลาที่ทำให้น้องสาวในอนาคตของตัวเอกอย่างเด็กชาย 4 ขวบ นาม คุนจัง ต้องได้เรียนรู้ปรับตัวกับการมีน้องสาว และเป็นพี่ชายที่ดีเสียที หนังมีปมกับตัวเอกไม่ต่างจากหนังเด็กเรื่องอื่น ๆ เท่าไร แต่ความโดดเด้งเด่นมากของแอนิเมชั่นเรื่องนี้คือ

ความเป็นปรัชญาแบบตะวันออกในเรื่องครอบครัว สายธารรากเหง้า ที่สื่อชัดเจนว่าเราเป็นตัวเราในปัจจุบันก็เพราะสิ่งที่คนรุ่นก่อนหน้าสร้างมา เช่นเดียวกันเราในปัจจุบันก็คือสายธารต่อคนในอนาคตข้างหน้าเช่นกัน

และแม้จะดูลึกซึ้งไม่น่าอินได้ง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วหนังมันบันเทิง และมีจังหวะการเล่าแบบจบในตอนอยู่ในที คล้าย ๆ ทีวีซีรีส์ที่มีปมเปิดและข้ามเวลาไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ก่อนกลับมาเข้าใจ แล้วก็เปิดปมใหม่ข้ามเวลาใหม่ วน ๆ ไป จนเข้าโครงเรื่องหลักในช่วงท้าย การจบปมย่อยในตอนสั้น ๆ

ซึ่งมันก็ทำให้เราได้พักหายใจเป็นระยะ ๆ แต่ก็แฝงข้อเสียที่บางคนอาจรู้สึกว่าหนังไม่ต่อเนื่องเหมือนเล่าเป็นห้วง ๆ แต่ว่ามองในแง่ที่เรานั่งดูจริง ๆ มันก็ตามไหลลื่นไปได้นะ เพราะเราเอาใจช่วยเด็กน้อย คุนจัง ไปแล้วด้วยความน่ารัก แล้วก็ยังมีมุกชวนขำไปกับความไร้เดียงสาและเอาแต่ใจของเขาด้วย สามารถติดตามการรีวิวอนิเมะของเรื่องอื่น ๆ ได้ที่ อนิเมะผจญภัย

มาโมรุ โฮโซดะ ผู้กำกับเรื่องนี้

เรามารู้จัก มาโมรุ โฮโซดะ ผู้กำกับของเรื่องนี้ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย ผู้กำกับ กิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2510 เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และนักสร้างแอนิเมชั่นชาวญี่ปุ่น เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในหมวดหมู่ที่ดีที่สุดเคลื่อนไหวภาพยนตร์สารคดีที่91 รางวัลออสการ์ สำหรับภาพยนตร์ที่เจ็ดของเขา Mirai

และในชีวิตวัยเด็กและการทำงานเบื้องต้นที่ Toei Animation ซึ่ง Hosoda เกิดที่ Kamiichi และ Nakaniikawa District และ Toyama ประเทศญี่ปุ่น พ่อของเขาทำงานเป็นวิศวกรรถไฟ และแม่ของเขาเป็นช่างตัดเสื้อ

และตอนแรก Hosoda รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างแอนิเมชั่นเป็นอาชีพหลังจากได้เห็น The Castle of Cagliostro ภาพยนตร์เรื่องแรกที่กำกับโดย Hayao Miyazaki จาก Studio Ghibli ที่มีชื่อเสียง เขาเรียนเอกภาพเขียนสีน้ำมันที่วิทยาลัยศิลปะคานาซาว่าในจังหวัดอิชิกาวะ

หลังจากสำเร็จการศึกษา Hosoda ก็สามารถหางานทำแอนิเมชั่นที่Toei Animationหลังจากส่งหนังสั้นที่เขาเคยสร้างเป็นแอนิเมชั่นในเวลาว่าง ตอนแรกเขาสมัครที่ Studio Ghibli แม้ว่าเขาจะไม่ได้งาน แต่เขาก็ได้รับจดหมายปฏิเสธจากฮายาโอะ มิยาซากิด้วยตัวเขาเอง

ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ Toei Hosoda ได้พัฒนาตัวเองและได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ด้วยภาพยนตร์สองเรื่องแรกในซีรีส์ Digimon Adventure เป็นภาพยนตร์กำกับร่วมเรื่องแรกของเขา Digimon The Movie ซึ่งดึงดูดสายตาของโทชิโอะ ซูซูกิหัวหน้าโปรดิวเซอร์ของจิบลิ

สตูดิโอของเขา

และ สตูดิโอจิบลิ ประกาศว่าโฮโซดะจะกำกับภาพยนตร์เรื่อง Howl’s Moving Castle ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2544 มีกำหนดฉายในฤดูร้อน พ.ศ. 2546 อย่างไรก็ตาม การผลิตภาพยนตร์เริ่มตึงเครียดเนื่องจากความแตกต่างที่สร้างสรรค์ ตามที่ Hosoda กล่าว เขา ได้รับคำสั่งให้สร้าง ภาพยนตร์ คล้ายกับที่มิยาซากิจะทำ

แต่ เขา ต้องการสร้าง ภาพยนตร์ของเขา ในแบบที่ เขา ต้องการสร้าง ในท้ายที่สุด โฮโซดะจากไปในฤดูร้อนปี 2545 ระหว่างขั้นตอนการผลิตขั้นต้น หลังจากล้มเหลวในการสร้างแนวคิดที่เป็นที่ยอมรับของหัวหน้าสตูดิโอจิบลิ

การดำเนินการที่เขาออกเดินทางจาก Ghibli, Hosoda กลับไปคลองเตยและทำงานในไม่กี่ภาพเคลื่อนไหวในการทำงานร่วมกันกับศิลปิน Takashi Murakami เช่นเชิงพาณิชย์ Superflat Monogram สำหรับหลุยส์วิตตอง ในช่วงเวลานี้ เขากำกับตอนหนึ่งของ Ojamajo Doremi ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงเวลาที่วุ่นวายที่ Ghibli ครั้งนี้ทำให้เขาได้รับการว่าจ้างที่สตูดิโอแอนิเมชั่บ้า และซึ่งเขาทำงานอยู่ที่ 2,005-2,011

ที่ Madhouse Hosoda ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากความพยายามในการกำกับของเขา รวมถึงเรื่อง The Girl Who Leapt Through Time ในปี 2006 ซึ่งได้รับรางวัลJapan Academy Prize for Animation of the Yearในปี 2007 และ Summer Wars ในปี 2009 ซึ่งได้รับรางวัลเดียวกันในปี 2010

และสตูดิโอ ชิสึ Hosoda ซ้ายบ้าในปี 2011 ที่จะสร้างสตูดิโอของตัวเองนิเมชั่น และ สตูดิโอ ChizuกับYuichiro Saitoผู้ผลิตกระโดดจั้มพ์ทะลุข้ามเวลาและฤดูร้อนร์วอร์ส ณ เดือนมีนาคม 2019 สตูดิโอ Chizu ได้เปิดตัวภาพยนตร์สามกำกับโดย Hosoda ในปี 2012 เด็กหมาป่า 2015 ของเด็กและสัตว์เดรัจฉานและ ในปี 2018 ของ Mirai ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมสำหรับ 2019 รางวัลออสการ์

ก็ถือว่านี้เป็นครั้งแรกจากผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่น The Girl Who Leapt Through Time ที่ว่าด้วยเรื่องของเด็กสาวที่มีพลังพิเศษ สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ จำได้ว่าหลังดูจบ แม้จะไม่มีคนแสดงจริงๆ แต่แอนิเมชั่นเรื่องนี้ทำปฏิกิริยาต่อหัวใจและมีผลต่อความเชื่อบางอย่างของเรา จนเรายกให้เรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่นที่เรารักที่สุด และปวารณาตัวเองเป็นแฟนของโฮโซดะทันที

มาโมรุ โฮโซดะ ผู้กำกับเรื่องนี้

ถ้าใครติดตามผลงานอื่นๆ ของโฮโซดะหลังจากนั้น ตั้งแต่ Summer Wars, Wolf Children, The Boy and The Beast  และ 2 เรื่องหลังผลิตในนามสตูดิโอส่วนตัวของเขาที่ชื่อว่า Studio Chizu คงรู้ว่าเขาเป็นผู้กำกับที่มักหยิบประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัว และเล่าเรื่องราวธรรมดาของชีวิตมนุษย์ให้น่าสนใจผ่านมุมมองแฟนตาซีให้น่าสนุก ที่สำคัญ หนังของโฮโซดะมีแง่คิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตส่งมาถึงคนดูได้ทุกช่วงวัย

ซึ่งเรื่องนี้ Mirai ผู้กำกับ แอนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของเขาที่กำลังเข้าโรงฉายในไทยอยู่ตอนนี้ก็ยังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องและสมาชิกในครอบครัวที่โฮโซดะถนัดมือ ถึงจะฟังดูซ้ำและซ้ำ แต่หลังจากดูจบ คุณพ่อลูกสองคนนี้ก็ยังสามารถหามุมมองใหม่ ๆ มาเล่าเรื่องธรรมดานี้ออกมาให้พิเศษและกินใจได้อีกครั้ง

และหลังจากได้พูดคุยกัน สิ่งที่เราไม่ได้คาดหวังมาก่อนคือ แอนิเมชั่นของเขายังสะท้อนไปถึงปัญหาใหญ่ๆ ของสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัยได้เหมือนกัน ในหลายคนมักบอกว่าผลงานของฉันเกี่ยวกับครอบครัวซะส่วนใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ฉันสนใจและอยากเล่าคือกระบวนการที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโต

และเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ใหญ่มากกว่า มันต้องผ่านอะไรบ้างถึงจะทำให้คนคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาแล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ โฮโซดะตอบคำถามแรกที่เราสงสัยมานาน แต่พออยากจะเขียนถึงเรื่องเด็ก

แน่นอนก็ต้องเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็กซึ่งก็คือครอบครัวไปโดยปริยายและ เขายกตัวอย่างเรื่องที่เด็กทุกคนน่าจะเคยผ่านมาให้เราฟังอย่างตอนหัดขี่จักรยานสองล้อเป็นครั้งแรก ที่เขาสังเกตเห็นจากลูกชายคนโตของเขาเองและหยิบมันมาใส่ในเรื่อง Mirai นี้ด้วย

เรื่องนี้ทำให้คนดูรู้สึกย้อนวัย

และเรื่องนี้ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงวันที่ขี่จักรยานสองล้อได้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นมันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่มากในสายตาของเด็กคนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ ซึ่งถ้าเรามองโลกด้วยสายตาผู้ใหญ่ เราก็จะมองอย่างที่มันเป็นตามความจริง เป็นสังคมมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน มีภาระหน้าที่และปัญหาต้องแก้

แต่เด็กจะมองโลกรอบตัวเขาต่างไปจากเรา เขาจะมองเห็นอะไรที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย อย่างในเรื่องที่คุนจังขี่จักรยานสองล้อไม่ได้ วันดีคืนดีเขาก็ขี่ได้ขึ้นมา ฉันสงสัยว่าแล้วอะไรทำให้เด็กคนหนึ่งขี่จักรยานได้ เขาอาจจะหายตัวไปอีกโลกหนึ่งแล้วไปเจอใครสอนให้เขาขี่เป็น ซึ่งในความจริงมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงใส่เรื่องราวแฟนตาซีมาช่วยในการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเด็กๆ ที่แตกต่างจากผู้ใหญ่เสมอ

ใน Mirai คุนจัง เด็กชายอายุ 4 ขวบเพิ่งได้ต้อนรับน้องสาวตัวเล็ก มิไร เป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว เขาได้รู้จักบทบาทการเป็นพี่ชายครั้งแรกที่อาจไม่ได้ถูกตามใจเหมือนตอนเป็นลูกคนเดียวมาตลอด แต่เมื่อเขาเดินผ่านสวนเวทย์มนตร์ในบ้านของตัวเอง

เรื่องนี้ทำให้คนดูรู้สึกย้อนวัย

เขาจะได้เดินทางข้ามเวลาไปพบกับน้องสาวในวัยมัธยม คุณแม่ตอนที่ยังเด็กๆ คุณปู่ทวดที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลก หรือแม้แต่สุนัขที่พ่อแม่เลี้ยงมา พอคุนจังได้เห็นด้านต่างๆ ของสมาชิกแต่ละคนก็ทำให้เขาเข้าใจความหมายของการเป็นพี่ เป็นลูก และผูกพันกับครอบครัวมากขึ้น

ฉันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ภาพยนตร์ รีวิวมิไร มหัศจรรย์วันสองวัย pantip ญี่ปุ่นหลายเรื่องจะพูดถึงครอบครัว ผลงานของโฮโซดะทำให้เรานึกถึงงานของฮิโรคาซุ โคเรเอดะ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นอีกคนที่มีผลงานน่าจดจำมากมาย Shoplifters ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของโคเรเอดะที่เพิ่งได้รางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด ก็มีเนื้อหาว่าด้วยมุมมองของคำว่า ครอบครัว ในบริบทของสังคมญี่ปุ่นร่วมสมัย

และหากย้อนไปดูงานของโคเรเอดะทั้งหมดก็พบว่ามีประเด็นหลักว่าด้วยเรื่องครอบครัวอย่างเข้มข้นจริงจัง ทั้ง After the Storm และ Like Father และ Like Son หรือผลงานคลาสสิกของเขาอย่าง Nobody Knows มันสิ่งนี้สะท้อนถึงปรากฏการณ์อะไรที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นตอนนี้หรือเปล่า ซึ่งมันทำให้คนดูส่วนใหญ่เกิความสงสัย

ความน่าสนใจของเรื่องนี้

เรามาพูดถึงความน่าสนใจของเรื่องนี้กันมั้ง มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย อนิเมะ เป็นอนิเมะแฟนตาซีแบบเบา ๆ อบอุ่นหัวใจโดยบอกเล่ามิตรภาพของครอบครัวที่มีคุนจังเป็นตัวแทนเด็กหลายคนที่เคยได้รับความใส่ใจจากพ่อแม่

แต่เมื่อมีลูกอีกคนเกิดก็ต้องคอยดูแลเพราะอีกฝ่ายยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งเด็กที่เคยได้รับการเอาใจใส่นั้นย่อมเล็กเกินกว่าจะรู้จักเหตุและผลทำให้อิจฉาน้องเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพบกับมิไรซึ่งอยู่ในช่วงอายุสดใสและเริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่บ้างแล้ว เธอจึงได้พยายามพาเขาออกไปเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตซึ่งคนแต่ละคนย่อมมีความใฝ่ฝันของตัวเองในช่วงที่ยังมีประสบการณ์ไม่มาก

และเมื่อทุกคนเติบโตก็จะค้นพบปัจจัยสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองที่มากกว่าเดิม ทำให้ความฝันของบางคนเปลี่ยนไปจนเป็นตัวเองในปัจจุบันเพราะการเรียนรู้ แต่หากใครที่ยังคงชอบและมีอุดมการณ์ในการทำสิ่งที่ใฝ่ฝันจริงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็จะยังทำมันจนสำเร็จ เหมือนที่เราเองในตอนนี้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตขึ้นและไม่อยู่กับตัวเองมากไป เป็นอนิเมะน้ำดีที่ควรค่าแก่การดูจริง ๆ เป็นอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าเรื่องนี้มันทำให้เราเกิดความอบอุ่นในระหว่างการดู

ความน่าสนใจของเรื่องนี้

และยังไม่พอเรื่องนี้ยังได้สอนให้เรามีข้อคิดอีกด้วยนะ ได้สอนให้เรารู้ว่า อย่ามองความคิดของคนอื่นให้แน่นอนหากเรายังเป็นเด็กอยู่ ประสบการณ์ของเรายังน้อยเกินกว่าที่จะคิดเองได้ในหลายเรื่อง

หากเราเผลอคิดผิดไปตามทิศทางของอารมณ์ก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลอื่นได้และเป็นเราเองที่ต้องอยู่กับความเสียใจ เมื่อโตขึ้นเดี๋ยวเราก็จะได้เรียนรู้มันมากขึ้นเอง เพราะประสบการณ์ บุคคล และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิมจะค่อย ๆ บอกเราได้เอง…เหมือนที่น้องสาวในอนาคตได้ข้ามมาเจอกับคุนจังทำให้เขาค่อย ๆ เรียนรู้หลายอย่างมากขึ้นไง

รีวิวMirai เรื่องราวสุดอบอุ่น

ถ้าถามทุกคนถามว่าทำไมฉันถึงอวยเรื่องนี้ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย สปอย มากล่ะก็ หึ ๆ ก็เพราะว่าเรื่องนี้มีเนื้อหาว่าสุดยอดแล้ว วิธีการนำเสนอก็ดีงามไม่แพ้กัน ทั้งการมอบบทบาทให้แก่ตัวละครในเรื่อง ทำออกมาได้ดีสุด ๆ ทุกตัวละครมีส่วนที่น่าจดจำทั้งหมด ไม่มีใครจืดจางกว่าใคร ทุกคนมีหน้าที่สำคัญในการต่อเติมให้ MIRAI สมบูรณ์ในแบบที่ควรเป็น พูดง่ายๆ ถ้าเอาภาพตัวละครทั้งหมดในเรื่องมาวางตรงหน้า ฉันสามารถบอกฉากจำได้หมด แต่ก็คนเราอะเนอะมีลืมกันบ้าง 555

และฉากในเรื่อง ถึงแม้จะไม่ได้ตระการตาขนาด Your Name. แต่ด้วยการดีไซน์ที่ทำออกมาให้ดูแบบสบายๆ ก็ช่วยทำให้ทุกอย่างในเรื่องละมุนละไมไปหมด แต่อย่ากลัวว่าจะน่าเบื่อ ฉากตื่นเต้น ฉากให้ลุ้นก็มี แต่ไม่ได้มาแบบกระแทกกระทั้น และสนุกไปกับมันได้อย่างเพลินๆ และอย่าถามหาฉากตลก ฉากน่ารัก

เพราะนี่คืออารมณ์สำคัญที่ปกคลุมหนังไปตลอดทั้งเรื่อง เอาแค่ว่าตัวเอกเป็น เด็กอนุบาล ก็น่าจะนึกภาพกันออกแล้วว่าความไม่ประสาของตัวละคร จะทำให้เราอมยิ้ม ให้เราขำได้มากน้อยแค่ไหน หลายๆ ฉากของ MIRAI ดึงกลิ่นอายเก่าๆ ของอนิเมก่อนหน้านี้ของอาจารย์โฮโซดะมาให้หายคิดถึง ที่ฉันสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดก็คือกลิ่นอายของ Wolf Children และ Summer Wars

รีวิวMirai เรื่องราวสุดอบอุ่น

และในบางประเด็น ฉันก็รู้สึกว่าไม่เคลียร์และอยู่เหนือตรรกะไปบ้าง ทั้งเรื่องการย้อนเวลา ความแฟนตาซีต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นบนโลกในหนังที่ดูแล้วน่าจะอิงพื้นฐานความเป็นจริงและความเป็นไปได้มากกว่า แต่แปลกที่คราวนี้ ฉันกลับไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ ลองลดวัย ลดตรรกะลงไปให้เหลือเทียบเท่าวัยเยาว์ที่ยังอ่อนต่อโลก เท่านี้อะไร ๆ ก็ เป็นไปได้

และ ไม่ต้องการเหตุผลมาอธิบาย แล้วล่ะ และก็ต้องชื่นชมจริง ๆ ที่คุมโทนความอบอุ่นหัวใจและเบาสบายไปได้จนจบเรื่องไปจนกระทั่งเพลงประกอบที่เข้ากันได้อย่างลงตัวที่สุด เพลิดเพลินมาก Mirai สปอย ดึงดูดฉันได้อยู่หมัดจริง ๆ

และฉันก็ยังรู้สึกอีกว่าการกลับมาของ มาโมรุ โฮโซดะ ในครั้งนี้ยังคงเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ในครอบครัวหลายๆ แบบ โดยพูดถึงมุมมองของพี่น้องและสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถสร้างได้ง่าย ๆ

และในความเห็นส่วนตัวของฉัน ฉันคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและเด็กเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดแล้วของสังคมญี่ปุ่นหรือไทยเรานี้เอง ตอนนี้รูปแบบการอยู่ร่วมกันของครอบครัวญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนไป จากแต่ก่อนที่เป็นแบบแผนว่าต้องเป็นแบบนี้ ๆ ที่ถูกสร้างมาหลายร้อยปีกำลังเปลี่ยนไป

เรื่องนี้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับครอบครัว

เรื่องนี้ Mirai พากย์ไทย ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับครอบครัวมากมาย แต่ซึ่งมันก็มีทั้งคนที่อยากลองอยู่ในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ตัวเองสบายขึ้น กับคนที่ยังต้องการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมที่เคยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ไว้

ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและคนญี่ปุ่นเองก็ไม่รู้ว่าควรเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนดี โฮโซดะยกตัวอย่างเรื่องอินเทอร์เน็ตที่ทำให้คนแต่ละคนเริ่มเป็นปัจเจกมากขึ้น เล่นอะไรกับคนที่ตัวเองไม่รู้จักในอินเทอร์เน็ตแต่ไม่สนใจความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็ส่งมาถึงเรื่องวิธีการเลี้ยงดูลูกด้วย

ถ้าในคนรุ่นฉันได้รับการเลี้ยงดูมาอีกแบบหนึ่ง แต่ลูกของเราควรจะได้รับการเลี้ยงดูแบบเดียวกันไหม ก็ยังไม่มีใครมาตั้งรูปแบบที่ทุกคนควรจะตาม หรืออย่างเรื่องเด็กก็เป็นปัญหาว่าเสียงดัง ในญี่ปุ่น ถ้าใครอยากจะสร้างโรงเรียนอนุบาลหรือเนิร์สเซอรีตรงไหน ก็มักถูกต่อต้านว่าเด็กเสียงดัง ไม่อยากให้สร้าง มีปัญหาตรงนี้เยอะมาก

ฉันคิดว่าที่ผู้กำกับหลายคนหยิบปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาเล่าในภาพยนตร์ ก็น่าจะอยากเอาปัญหาตรงนี้มาให้ทุกคนโฟกัสดู และลองคิดว่าเราจะแก้ไขยังไงกันดี ฉันเองคิดอย่างนี้และคิดว่าผู้กำกับคนอื่นน่าจะมีความคิดตรงนี้อยู่บ้างเหมือนกัน โฮโซดะบอกกับเรา5555

เรื่องนี้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับครอบครัว

และเรื่องนี้ได้ทำให้เราได้เห็นนอกจากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ชวนให้เราลองคิดว่าสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างไร อีกเมสเสจที่ถูกเล่าในช่วงท้ายของ Mirai และเราชอบมาก ๆ คือตอนที่คุนจังและมิไรได้รู้ว่าตัวเขาเองอยู่ใน จุด ไหนของประวัติศาสตร์ครอบครัว

เราแต่ละคนล้วนเป็นผลผลิตจากเหตุการณ์เล็ก ๆ ในอดีต อาจเป็นเหตุบังเอิญหรือการตัดสินใจของคนในครอบครัวที่ทำให้เราได้อยู่ในจุดใดจุดหนึ่งของเวลาในตอนนี้ และสิ่งนี้จะเป็นผลต่อเนื่องต่อไปในอนาคต หรือ มิไร เช่นกัน

และฉันอยากให้ผู้ชมดูแล้วคิดถึงตัวเอง คิดถึงครอบครัว ว่าก่อนที่จะมีตัวเราในวันนี้ มันต้องมีเหตุการณ์ในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยไหนเกิดขึ้นมา อาจเป็นเรื่องบังเอิญจนเกิดเป็นตัวเรา และตัวเราเองก็จะเชื่อมต่อไปถึงอนาคตอีกว่าครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *