รีวิวอนิเมะ ตำนานเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่
The Tale of Princess Kaguya (2013) ตำนานเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ เรื่องราวชีวิตของคางุยะที่ถูกกำหนดโดยผู้อื่น ภาพยนตร์ที่บอกเล่าถึงความต้องการสูงสุดของมนุษย์และกิเลสด้วยศิลปะด้านภาพที่ตรึงตา รีวิวอนิเมะ ตำนานเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ รีวิวอนิเมะ
The Tale of Princess Kaguya (2013) เรื่องราวเริ่มต้นจากชายชราขายไผ่ที่พบเด็กผู้หญิงตัวเท่าฝ่ามืออยู่ในหน่อไม้ เขาคิดว่าเด็กหญิงคือเจ้าหญิงและเป็นของขวัญที่สวรรค์ส่งมาให้ ทันใดนั้นเองเด็กหญิงก็ได้กลายเป็นเด็กทารกและเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อชายขายไผ่เข้าป่าไผ่อีกครั้งเขาก็ได้เสื้อผ้าอาภรที่สวยงามพร้อมกับทองคำจำนวนมากจากปล้องไผ่ ทำให้เขาคิดว่าควรสร้างฐานะและพาคางุยะเข้าไปอยู่ในเมืองให้สมกับการเป็นเจ้าหญิงให้สมกับสิ่งที่สวรรค์ต้องการโดยหารู้เลยว่าคางุยะจะต้องพบเจอกับความเจ็บปวดใจ
The Tale of Princess Kaguya (2013) อนิเมะจากสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ที่ถูกดัดแปลงจากตำนานพื้นบ้านของประเทศญี่ปุ่นในสมัยศตวรรษที่ 10 ซึ่งฉบับอนิเมะนั้นก็ดำเนินเรื่องราวและมีโครงเรื่องตามตำนาน ส่วนที่แตกต่างก็คงเป็นตัวละครและเนื้อเรื่องบางส่วนที่เสริมเข้ามา
The Tale of Princess Kaguya (2013) เป็นอนิเมะที่ถึงแม้จะเก่าแล้วแต่ในเรื่องของงานภาพไม่ได้เก่าตาม โยงานภาพจะแตกต่างจากอนิเมะเรื่องอื่นของทางสตูดิโอ เพราะในเรื่องนี้ใช้เทคนิคสีน้ำ ซึ่งทำให้ภาพดูละมุนและน่าค้นหามากขึ้น หลังจากดูจบก็พบว่ามีความรู้สึกที่หลากหลายปนกัน ทั้งความสงสัยในสัญลักษณ์ที่ปลายเปิดสามารถคิดและเชื่อมโยงไปทางไหนก็ได้ รวมไปถึงตอนจบที่ทำให้รู้สึกสับสนกับสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” กับ “เป้าหมายชีวิต” ที่ผู้คนบนโลกทุ่มเทพยายามอย่างหนักในการไขว่คว้าและค้นหาเพื่อที่จะมีและบรรลุในสิ่งเหล่านี้
ในส่วนของงานภาพและดนตรีประกอบ มองว่าทำออกมาได้ดี ทั้งภาพและลายเส้นที่ดูเรียบง่าย สีที่ทำให้มู้ดและโทนสามารถสื่อถึงเรื่องราว อารมณ์และความรู้สึกได้ดี เพลงประกอบที่ฟังแล้วสบายใจและมีความลุ่มลึกตามแบบฉบับของอนิเมะ
ช่วงแรกของอนิเมะจะเป็นการปูเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนจริง ๆ ของคางุยะและครอบครัวที่เลี้ยงเธอมา จากนั้นเมื่อชายชราได้ทองจำนวนมากจากต้นไผ่ เขาจึงนำทองเหล่านั้นไปขายและตั้งใจจะพาตัวคางุยะไปในเมืองเพื่อที่จะทำให้เธอใช้ชีวิตสมกับเป็นเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์ ซึ่งคางุยะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง เช่น ระเบียบที่เคร่งครัดทั้งในเรื่องของการอบรมมารยาท การแต่งตัวและการใช้ชีวิต แม้เธอจะรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งของสวยงามและบ้านหลังใหญ่ในช่วงแรก แต่ต่อมาเธอก็ค้นพบว่าเธอไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย สระน้ำหน้าบ้านก็ลงไปว่ายเล่นไม่ได้ แม้แต่จะวิ่งในบ้านก็ยังทำไม่ได้ เธอทำหลาย ๆ สิ่งที่เธอต้องการทำไม่ได้ ไม่เหมือนกับตอนที่เธออยู่ในป่าเขา ที่นั่นเธอจะรู้สึกเป็นตัวเองและมีความสุขมากกว่านี้ มีฉากหนึ่งที่คางุยะมองไปยังนกที่เกาะบนต้นไม้ ในขณะนั้นเธอเองก็คงคิดว่า “เป็นนกนี่มีอิสระดีจังเลย” ดูหนัง
“ หมุน หมุน หมุนวนไป กังหัน หมุนวนไป แล้วเรียกท่านพระอาทิตย์ หมุนวนไป แล้วเรียกท่านพระอาทิตย์ นำพาฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ผลัดเวียนกันไป หมุนวนไป หมุนเวียนมา หมุนเวียนมา เรียกคืนใจฉัน หมุนเวียนมา เรียกคืนใจฉัน นกน้อย แมลง สัตว์น้อยใหญ่ ใบหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ สอนข้าว่าควรรู้สึกเช่นไร หากข้าได้ยินเจ้าคร่ำครวญหาข้า ข้าจะหวนคืนสู่เจ้า” ดูหนังออนไลน์
ในฉากที่เพื่อน ๆ และคางุยะได้ร้องเพลงพื้นบ้านอย่างมีความสุขในขณะที่เดินทางไปยังหมู่บ้านของซูเตมารุ คางุยะก็ได้ร้องท่อนที่แตกต่างจากเพลงที่เพื่อน ๆ ร้องออกมา จากนั้นเธอก็เหม่อมองไปข้างหน้าและร้องไห้ออกมา ตรงจุดนี้อาจคาดคะเนได้ว่าเธอกำลังระลึกถึง “บ้านเกิด” ของเธอจริง ๆ ที่ที่เธอจากมา โดยที่เธอเองก็ระลึกถึงโดยไม่รู้ตัว ดังบทสนทนาระหว่างเธอกับซูเตมารุ
“เป็นอะไรเหรอ” ซูเตมารุถามคางุยะ
“ข้าก็ไม่รู้” คางุยะตอบ
.
“หากข้าได้ยินเจ้าคร่ำครวญหาข้า ข้าจะหวนคืนสู่เจ้า”
เนื้อร้องส่วนนี้อาจสื่อความได้ว่าคางุยะจะกลับไปบ้านเกิดเมื่อเธอรู้ว่าเธอมาจากที่ใด
.
ตั้งแต่ต้นพ่อและแม่จะเรียกคางุยะว่าฮิเมะซึ่งแปลว่าเจ้าหญิงในภาษาญี่ปุ่น โดยชื่อคางุยะได้ถูกตั้งขึ้นมาภายหลังโดย คางุยะ แปลว่า แสงอันเรืองรอง และการตั้งชื่อนี้เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดของคางุยะ
“นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองที่ข้าได้รับชื่อใหม่จริงเหรอ แต่ทำไม ข้าได้แต่นั่งอยู่เฉย ๆ ”
ในช่วงกลางเรื่องพ่อของเธอก็ได้จัดพิธีฉลองชื่อที่ยิ่งใหญ่ เขาเชิญแขกมามากมาย ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นให้คางุยะ แต่เธอกลับทำได้เพียงนั่งอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางแขกมากมายที่ดื่มและกินกันอย่างสนุกสนาน งานได้ดำเนินไปถึงสามวันสามคืน จากนั้นแขกที่มาร่วมงานก็ขอพบหน้าคางุยะ พ่อของเธอจึงบอกว่ามันผิดธรรมเนียม แขกก็เลยพูดว่า ธรรมเนียมมีไว้สำหรับเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์จริง ๆ แต่เธอไม่ใช่ อีกทั้งหน้าจาอาจจะขี้เหร่ก็ได้ อาจจะไม่ได้สวยเหมือนอย่างที่ร่ำลือกัน เมื่อคางุยะได้ฟังคำดูถูกเหล่านั้นเธอก็รู้สึกเจ็บปวด เธอจึงวิ่งหนีกลับป่าที่เป็นบ้านเกิดของเธอ ซึ่งฉากนี้สามารถสื่อถึงความเจ็บปวดในการเติบโตขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเราเติบโตเราก็ต่างมีภารกิจและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ต้องเผชิญกับเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง ดูหนัง 4k
“เมื่อป่าไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม”
ในฉากที่คางุยะวิ่งหนีกลับบ้านเกิด เธอก็พบว่าป่าที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ต้นไม้หายไป สภาพป่าดูแห้งแล้ง เมื่อเธอถามถึงชาวบ้านกับชายก่อฟืน เขาก็บอกว่าชาวบ้านที่เคยอยู่ในหมู่บ้านได้อพยพเดินทางไปที่อื่น เพราะพวกเขาตัดไม้จนทำให้ภูเขาโล่ง ธรรมชาติไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม และพวกเขาจะไม่กลับมาที่นี่อีกจนกว่าจะครบสิบปีเพื่อให้ป่าได้ฟื้นตัว ซึ่งฉากนี้เป็นการสอดแทรกข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติ เมื่อคางุยะไม่ได้พบกับสิ่งที่เธอหวัง เธอก็เติบโตขึ้นและเผชิญหน้ากับความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงที่ว่าก็คือการที่เธอต้องตั้งใจเรียนการเป็นกุลสตรีที่ดี การประพฤติตัวให้เหมาะสมกับการเป็นเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์และทำทุกสิ่งที่เธอต่อต้านในตอนแรก ซึ่งเธอทำเพราะเป็นหน้าที่ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจ เธอจึงมีบุคลิกที่ซึมเศร้า ดูเป็นทุกข์และเงียบขรึมกว่าเดิม ดูหนังออนไลน์ 4k
“เจ้าหญิงต้องแต่งงานกับชายหนุ่มที่คู่ควรโดยเร็วที่สุด เพียงแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว”
รีวิวอนิเมะ ตำนานเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่
พี่เลี้ยงพูดกับคางุยะราวกับว่าการแต่งงานคือหน้าที่อย่างหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เจ้าหญิงก็สามารถทำทุกอย่างที่เธอต้องการได้เช่นเดียวกับผู้ชาย แต่ด้วยกรอบและสิ่งที่เป็นอยู่จึงทำให้ทุกคนตั้งความหวังกับเธอและคิดว่าเธอจะเป็นไปตามครรลองของสังคม
“เราขอให้พวกท่านนำสมบัติล้ำค่าที่ท่านพูดถึงมาให้เรา เมื่อนั้นเราจะสามารถประจักษ์แจ้งในใจได้ว่าท่านเห็นคุณค่าของเรามากน้อยเพียงใด”
คางุยะได้ขอให้เจ้าชายและเสนาบดีทั้งห้าที่มาสู่ขอเธอให้ไปหาสมบัติที่นำมาเปรียบเปรยกับเธอ เพราะทุกคนนำคุณค่าของเธอไปเปรียบกับสมบัติที่อาจไม่มีอยู่จริงและอาจเห็นเธอเป็นเพียงสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นสมบัติของใครทั้งสิ้น เธอจึงขอในเชิงออกอุบายว่าให้ไปหาสิ่งเหล่านั้นมา
หลังจากนั้นสามปี เธอก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในบ้าน โดยเธอทำสวน ปลูกผักและใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็น จากนั้นเจ้าชายและเสนาบดีทั้งห้าก็ทยอยมาหาพร้อมนำสมบัติล้ำค่าที่ว่ามาให้ บางคนก็นำของปลอมที่สั่งทำขึ้นมาให้ บางคนก็ตายหรือไม่ก็เป็นบ้า โดยชายที่น่าจะน่าสนใจที่สุดในบรรดาชายทั้งหมด คือชายที่นำดอกไม้มาให้คางุยะและบอกว่า “สิ่งที่เธอต้องการนั้นคือความทุ่มเทและความรักอย่างแท้จริง” โดยเขาได้สาธยายถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอและกล่าวว่าจะพาเธอไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายให้เหมือนกับต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา ที่ที่จะหัวเราะ ร้องเพลงและนอนหลับอย่างเป็นสุข โดยไม่ต้องสนใจพิธีรีตอง แต่แล้วเธอก็พบว่าชายคนนั้นได้สนใจแค่เพียงหน้าตาที่สวยตามคำร่ำลือของเธอเท่านั้นไม่ได้สนใจถึงความเป็นเธอเลย
หลังจากนั้นเมื่อองค์จักรพรรดิได้ยินคำร่ำลือถึงความสวยของคางุยะและเรื่องที่เธอปั่นหัวขุนนางทั้งห้า พระองค์จึงประสงค์ที่จะให้คางุยะมาเป็นสนม แต่เธอปฏิเสธ พระองค์จึงมาหาเธอที่บ้านและได้ทำการล่วงเกินเธอโดยการสวมกอด เธอไม่พอใจอย่างมาก คางุยะจึงหายตัวเพื่อให้พ้นจากองจักรพรรดิ จากนั้นองค์จักรพรรดิจึงยอมแพ้เพราะเธอไม่ใช่คนธรรมดา จากนั้นเธอเธอเอาแต่มองพระจันทร์และรู้สึกซึมเศร้ามากกว่าเดิม และเธอก็ได้บอกครอบครัวว่า เธอไม่อยากกลับไปที่ดวงจันทร์
“ความสุขที่ท่านพ่ออยากมอบให้ข้านั้น มันยากเกินกว่าจะรับไหว ข้าวิงวอนอย่างไม่รู้ตัว ให้พระจันทร์มาช่วยข้า พอองค์จักรพรรดิมากอดข้า ในใจข้าเรียกร้อง ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
ประโยคนี้สะท้อนในเรื่องของความคาดหวังของครอบครัวที่มีต่อลูกได้อย่างดี เพราะในบางครั้งความปรารถนาที่เห็นว่าดีของพ่อแม่อาจไม่ได้ดีและเหมาะกับลูกเสมอไป ในทางกลับกันสิ่งนั้นเองอาจทำให้ลูกรู้สึกทุกข์ใจ
“ข้ามาทำอะไรที่นี่ โวยวายเรื่องการเป็นสมบัติของคนอื่น ไม่สนใจความปรารถนาของพ่อ หลอกตัวเองด้วยทุ่งหญ้าและภูเขาปลอม ๆ …ข้าเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างแท้จริงเช่นเดียวกับนกและสัตว์ต่าง ๆ”
ในฉากนี้คางุยะได้สับสนถึงความเป็นตัวตน เป้าหมายที่ต้องมาทำในชีวิตนี้ ซึ่งความจริงแล้วเธอเป้าหมายที่เธอคิดว่าเธอต้องนั้นเป็นสิ่งที่ใช่หรือถูกต้องสำหรับเธอจริง ๆ หรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะทุก ๆ วันบางครั้งเราก็สับสนกับเป้าหมายจริง ๆ ของเรากับหน้าที่และสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และนั่นอาจทำให้เราหลงลืมตัวตนและเป้าหมายจริง ๆ ของเราไปชั่วขณะ
.
จากนั้นชายตัดไผ่ก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คนจากดวงจันทร์ไม่สามารถมารับคางุยะได้
ด้วยความรักที่มีต่อคางุยะ เขาจึงพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ให้คางุยะจากไป ซึ่งเขาอาจรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเหนือการควบคุมแต่เขาก็พยายามที่จะควบคุมสถานการณ์อยู่ดี ทั้งที่จริงแล้วการยอมรับและปล่อยให้มันเป็นไปอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
.
“หมุนวนไป หมุนเวียนมา หมุนเวียนมา หมุนเวียนมา โอ้เวลาแสนห่างไกล หมุนเวียนมาเรียกคืนใจฉัน นกน้อย แมลง สัตว์น้อยใหญ่ใบหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ สอนข้าว่าควรรู้สึกอย่างไร หากข้าได้ยินเจ้าคร่ำครวญหาข้า ข้าจะหวนคืนสู่เจ้า”
คางุยะร้องไห้ แม่ของเธอถามว่าเพลงนี้มีเนื้อร้องอื่นด้วยเหรอ เธอจึงเล่าให้ฟังว่า มีหญิงนางหนึ่งที่กลับมาจากโลกชอบร้องเพลงนี้บนดวงจันทร์ แต่เมื่อใส่เสื้อคลุมแล้วนางจะจำอะไรไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่นางร้องเพลงนี้นางจะน้ำตาไหล
“ถ้าข้าได้อยู่กับพี่ ข้าคงมีความสุข”
คางุยะก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปเธอไขว่คว้าความสุข ความอิสระและเป้าหมายบางอย่างของเธอ ในฉากนี้เธอคิดว่าถ้าเธอได้ลงเอยกับซูเตมารุ เธอคงมีความสุขแน่ ๆ ซึ่งเธอกำลังเสียใจกับทางเลือกที่เธอไม่ได้เลือก ซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่าถึงแม้จะมาจากดวงจันทร์แต่คางุยะที่เกิดบนโลกมนุษย์ก็มีอารมณ์และความรู้สึกแบบมนุษย์ ทักรัก โลภ โกรธ หลง เศร้า โหยหาความสุข ในบางครั้งเธอก็หมกหมุ่นอยู่ในภาวะอารมณ์ของตนเอง
“หมุน หมุน หมุนวนไป กังหัน หมุนวนไป แล้วเรียกท่านพระอาทิตย์ ดอกไม้ ออกผล แล้วก็ตาย มีเกิดแก่ เจ็บ ตาย ชีวิตเป็นดั่งวัฏจักร”
เนื้อเพลงแบบสุดท้ายของเพลงนี้ที่ร้องขึ้นก่อนที่คางุยะจะสวมผ้าคลุม สุดท้ายแล้วไม่ว่าคางุยะจะกลับดวงจันทร์หรือไม่ เธอก็จะต้องลาจากครอบครัวและตายอยู่ดี ตามวัฏจักรของธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“มาอยู่ในจันทรประเทศที่แสนบริสุทธิ์ ทิ้งโลกที่โสมมนี้เสีย”
เป็นคำเชิญชวนของเทพซึ่งจี้ใจมาก เพราะโลกมนุษย์เต็มไปด้วยอารมณ์ต่าง ๆ และเต็มไปด้วยผู้คนที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยกิเลสของตน ซึ่งการไม่ละกิเลสอาจจะทำให้เทพมองว่าโลกไม่บริสุทธิ์เต็มไปด้วยอบายมุข แต่คางุยะเห็นต่างว่ามนุษย์เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก มีชีวิตชีวา แต่ทันใดนั้นเทพก็คลุมผ้าแล้วคางุยะก็ลืมเรื่องราวบนโลกทันที (เหมือนเทพอาจจะรู้สึกว่าคางุยะอยู่บนโลกนานเกินไปแล้วจนซึมซับความเป็นมนุษย์มา)
เรื่องที่ขัดใจเล็กน้อยสำหรับ The Tale of Princess Kaguya คือฉากที่ซูเตมารุชวนคางุยะหนีไปด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีภรรยาและลูกแล้ว ทำให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะความโลกสวยส่วนตัวที่อยากให้คางุยะกับซูเตมารุคู่กัน (แบบถูกต้องตามศีลธรรม) แต่ถ้าคิดในอีกมุมคือเหตุการณ์นี้สามารถอธิบายคำว่ามนุษย์ขับเคลื่อนด้วยกิเลสและอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างดีเลยทีเดียว
“สำหรับฮิเมะและซูเตมารุ วันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง”
ซีนหนึ่งในช่วงแรกที่ปวดใจหน่อย ๆ สำหรับอนิเมะเรื่องนี้คือซีนที่คางุยะต้องไปเมืองหลวงกับพ่อแม่โดยที่เธอไม่ได้บอกลาเพื่อนและซูเตมารุที่ดูเหมือนจะเป็น “รักแรก” ของเธอ คิดว่าการไปโดยไม่ลาซูเตมารุและเพื่อนในกลุ่มเป็นสิ่งที่ค้างคาใจเธออยู่ไม่น้อย แม้ในตอนหลังเธอจะได้พบกับซูเตมารุและพบว่าซูเตมารุใช้ชีวิตในเมืองโดยการเป็นขโมย มิหนำซ้ำเธอยังเห็นเขาโดนต่อยต่อหน้าต่อตา
The Tale of Princess Kaguya เป็นอนิเมะที่สามารถตีความได้หลายแบบ โดยส่วนตัวมองว่าการกลับไปยังดวงจันทร์ของคางุยะ คือการหลุดพ้นวัฏจักรแบบมนุษย์ การละจากกิเลสไปสู่หนทางที่สงบอย่างที่เธอเคยเป็น อาจจะสื่อถึงการนิพพานด้วยก็ได้ ซึ่งการนิพพานนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ หรือถ้าไม่ใช่ศาสนาพุทธอาจจะสื่อถึง “การไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้า” อย่างศาสนาคริสต์ก็ได้ (คิดว่าเป็นศาสนาพุทธมากกว่าเพราะมีตัวละครที่หน้าคล้ายพระพุทธเจ้าเลยคิดว่าอาจเป็นแบบนี้)